Bishonen ความรักที่ต้องเป็น…ความลับ




       ความรักคือสิ่งที่เป็นสุขยิ่งสำหรับคนสองคน การที่ได้แสดงออกถึงภาษาแห่งรัก ความอบอุ่น ความเอื้ออาทรให้คนที่เรารักได้รับรู้ไม่ว่าจะเป็นทางด้านใดก็ตาม ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เติมเต็มความสุขและสร้างเสริมความรักให้กันและกัน แต่ถ้าหากความรักที่มีให้กันไม่สามารถแสดงออกมาได้ ต้องถูกปกปิดแอบซ่อนไว้เป็นความลับจนแม้กระทั่งคนที่เรารักเองก็ไม่สามารถรับรู้ถึงความรักที่อีกฝ่ายมีให้ได้นั้น แล้วความรักจะเป็นความสุขได้เช่นไร

       Bishonen เป็นภาพยนตร์แนวเมโลดรามาเต็มรูปแบบ แสดงให้เห็นถึงรักสามเศร้าที่เกิดขึ้นกับตัวละครแต่ละตัวที่ต่างก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากันเพียงเพื่อเพราะความรักที่ต้องเก็บซ่อนไว้จนเป็นความลับและความหลงมัวเมาจนกระทั่งทำร้ายได้แม้แต่ผู้ที่เรารัก

       เจ็ท (Stephen Fung) ชายหนุ่มรูปงามผู้มีอาชีพขายตัวได้พบกับแซม (Daniel Wu) ตำรวจหนุ่มครั้งแรกในงานแสดงศิลปะ ทันทีที่ได้เห็นแซม เขาก็รู้สึกชอบและตกหลุมรักในทันทีทันใดทั้งๆ ที่เขาไม่เคยที่จะรักใครมาก่อน หลังจากวันนั้นเขาก็เฝ้าแต่รอคอยที่จะพบกับแซมอีกจนแทบไม่เป็นทำอันทำอะไร อาฉิง (Jason Tsang) เพื่อนสนิทของเจ็ทได้ช่วยเหลือโดยการลงประกาสตามหาที่หน้าหนังสือพิมพ์ แต่ก็ไม่รับการติดต่อกลับมาแต่อย่างใด จนกระทั่งวันหนึ่งเจ็ทได้พบกับแซมอีกครั้งโดยบังเอิญ ซึ่งคราวนี้แซมเองเป็นผู้เข้ามาทักเขาก่อนและได้แนะนำตัวพร้อมกับนัดเจอกันหลังออกเวรซึ่งทำให้เจ็ทดีใจและมีความสุขมาก และนับแต่นั้นเป็นต้นมาเขาทั้งสองก็ได้สนิทสนมกัน เจ็ทได้รับรู้ว่าการที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่เรารักนั้นช่างเป็นความสุขที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ แซมเองก็เช่นกันเขาไม่เคยปฏิเสธสักครั้งเดียวเมื่อเจ็ทนัดและยังดูแลเจ้ทเป็นอย่างดีเสียด้วย แต่แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะราบรื่นและดูเหมือนกำลังจพัมนาไปสู่การเป็นคู่รักก็ตามที แต่สิ่งหนึ่งที่เจ็ทไม่เข้าใจในตัวแซมก็คือ การที่แซมดูเย็นชากับความรักที่เจ็ทมีให้ หลายครั้งที่เจ็ทเปิดโอกาสให้กับแซม แต่เขาไม่เคยเลยที่จะล่วงเกินความสัมพันธ์อันนั้นมากไปกว่ารอยยิ้มและความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน เจ็ทเริ่มสับสนในตัวเองและคิดว่าแท้จริงแล้วนั้นแซมเคยรักตนบ้างหรือเปล่า หรือเป็นเพียงตัวเขาเองที่คิดไปเองฝ่ายเดียวกันแน่

       แซมเองก็เช่นกัน ใจจริงนั้นเขาชอบเจ็ทมาก แต่เพราะความเจ็บปวดในอดีตบางประการจึงทำให้เขาไม่สามารถบอกคำว่า “รัก” กับเจ็ท ได้ แต่เมื่อหนังดำเนินไปจนถึงตอนกลางเรื่อง ภาพความหลังอันเจ็บปวดที่ว่านี้ค่อยๆ โผล่ให้คนดูได้เห็นเป็นระยะๆ จนประติดประต่อได้ความว่า ก่อนที่เจ็ทจะมาเป็นตำรวจนั้นเขาเคยทำงานเป็นพนักงานอยู่บริษัทเอกชนมาก่อน วันแรกที่เริ่มงานเขาได้พบกับอาฉิง (ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับเพื่อนสนิทของเจ็ท) ทันทีที่พบอาฉิงรักแซมมากยอมทำทุกอย่างเพื่อแซม และแซมเองก็รักอาฉิงไม่น้อยไปกว่ากัน ความรักของทั้งสองคงจะเบ่งบานได้เต็มที่ หากเพียงแค่ไม่มีบุคคลที่สาม เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของแซม

       แซมได้พบกับ K.S. นักร้องชื่อดังโดยบังเอิญ ด้วยเสน่ห์ที่ค้นพบในตัว K.S.ทำให้แซมหลงรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ยอมทำทุกอย่างเพื่อ K.S. ยอมแม้กระทั่งทรยศต่อความรักที่อาฉิงมีให้ อาฉิงยอมขายตัวเพื่อนำเงินมาให้กับแซม แต่แซมเองกลับนำเงินที่เป็นน้ำพักน้ำแรงของคนรักไปปรนเปรอ K.S. รวมถึงตัวเขาเองที่ยอมตัดสินใจถ่ายรูปเปลือยเพื่อนำเงินที่ได้มาใช้หนี้ที่ K.S. ได้ก่อไว้ หากแต่ดูเหมือนว่า K.S. นั้นไม่รับรู้ถึงความรู้สึกที่แซมมีให้เลยแม้แต่น้อย และเพราะความหลงนี้เองจึงทำให้ฉากสุดท้ายของความรักทั้งคู่ปิดฉากลงด้วยการแยกทางกัน แซมได้ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดและพบว่าตนได้ทำผิดต่ออาฉิง ทำผิดต่อความรักที่อาฉิงมอบให้เขาอย่างหมดใจ เขาจึงลาออกจากการเป็นพนักงานของบริษัทแห่งนั้นและเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเป็นตำรวจเจริญรอยตามผู้เป็นพ่อ พร้อมกับสัญญากับตนเองว่าต่อไปนี้จะขอมีชีวิตอยู่แบบคนธรรมดา จะไม่ทำผิดและจะไม่รักใครอีกเพราะเขาเชื่อว่าความรักของเขานั้นมักทำร้ายคนที่เขารักอยู่เสมอๆ เขาได้ดำเนินชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาๆ อยู่ถึง 5 ปี จนกระทั่ง ได้พบเจ็ทและทำให้ความรู้สึกเคยตั้งใจไว้เริ่มสั่นคลอน

       ต่อมาแซมได้พบกับอาฉิงอีกครั้ง แต่เขาแกล้งทำเป็นจำไม่ได้เพราะเขาไม่อยากให้อาฉิงต้องผิดหวังอีก และรู้ตัวเองดีว่าความผิดตนกระทำในอดีตนั้นยากแก่การให้อภัยซึ่งทำให้อาฉิงรู้สึกเสียใจมากที่คนที่ตนเคยรักและยังรักอยู่ทำเช่นนี้กับตน

       หลังจากนั้นอีกไม่นานเรื่องรักสามเศร้าก็ได้อุบัติขึ้น เมื่อเจ็ทเล่นกีฬาแล้วขาแพลง แซมพาเขากลับบ้าน และได้พบกับอาฉิงที่นั่น ทั้งสามคนต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ็ทรีบไปที่บ้านของแซมเพื่อถามความจริงจากเขาและสารภาพว่าตนนั้นรักแซมมาก ซึ่งแซมเองก็เช่นกัน ในขณะที่รักต้องห้ามได้ดำเนินไปตามครรลองของมันอยู่นั้น พ่อของแซมได้บังเอิญเห็นเข้า แซมเสียใจมากกับการกระทำที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และคิดว่าตนได้ทำให้คนที่รักต้องเสียใจอีกแล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะออกจากชีวิตของทุกๆคนที่เขารักไปชั่วนิรันดร์ เพื่อไม่ให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวดจากความรักที่เขามีให้อีกต่อไป

       หลายวันต่อมา กานาเพื่อนสนิทของแซมได้นำจดหมายที่แซมเขียนถึงเจ็ทก่อนอัตวินิบาตกรรมมาให้ โดยในนั้นมีโฆษณาประกาศตามหาในหนังสือพิมพ์และจดหมายที่มีเนื้อความว่า แซมนั้นรักและจริงใจกับเจ็ทมากที่สุดแต่เขาไม่กล้าที่จะเอ่ยอ้างออกไป เขาเก็บประกาศโฆษณาอันนี้ไว้เพื่อที่จะยืนยันความรักของเขาต่อเจ็ทในวันที่ต้องแยกทาง แต่ในวันนี้เขาต้องจากเจ็ทไปชั่วนิรันดร์ไม่มีโอกาสได้บอกเองจึงฝากข้อความมาในจดหมายฉบับนี้พร้อมทั้งใบประกาศโฆษณามให้เจ็ทเพื่อพิสูจน์ให้ทราบว่าเขารักเจ็ทมากเพียงใด

       ทันทีที่เจ็ทได้อ่านจดหมายฉบับนี้จบน้ำตาลูกผู้ชายก็ได้ไหลออกมาจากเบ้าตาอย่างห้ามไม่ได้ มันมิใช่น้ำตาแห่งความเสียใจหากแต่เป็นน้ำตาแห่งความปิติยินดี เขาได้บอกกับตัวเองว่า เพียงแค่นี้ก็เป็นสุขยิ่งแล้วสำหรับเขา แม้ว่าถ้อยคำดังกล่าวจะไม่ได้ออกมาจากปาก “แซม” คนที่เขารักมากที่สุด แต่มันก็กลั่นกรองออกมาจากจิตใจอย่างแท้จริง เพียงแค่นี้แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต และดูเหมือนว่าในคืนนั้นเองเจ็ทก็ได้พบกับแซมอีกครั้งในที่ๆไกลแสนไกลหลังจากที่ไม่ได้พบกันนาน

       Bishonen เป็นผลงานการกำกับของ Yonfan ผู้กำกับรุ่นใหม่ฝีมือดี เจ้าของผลงานชิ้นเยี่ยมอย่าง Lost Romance, Bugis Street ซึ่งเรื่อง Bishonen นี้ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เขากำกับมาอีกด้วย

       จุดเด่นสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่การเล่าเรื่องและการตัดภาพแบบสลับไม่ลำดับเวลา ที่สามารถจูงใจให้ผู้ชมมีความอยากใคร่รู้และติดตามได้ตลอดจนจบเรื่อง นอกจากนี้การใช้เพลงประกอบภาพยนตร์ก็ยังมีความเหมาะสมอีกทั้งฝีมือในการแสดงของนักแสดงแต่ละคนก็ยังสมบทบาทอีกด้วย องค์ประกอบดังกล่าวข้างต้นจึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเกียรติให้ฉายโชว์และเข้าชิงรางวัลตามเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ รวมถึงเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ (Bangkok Film Festival) ปี 2543 ด้วย สำหรับแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว Yonfan ได้กล่าวไว้ในเว็บไซต์ของเขาที่ http://www.yonfan.com ว่าได้แรงบันดาลใจมาจากข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้น ณ บ้านเศรษฐีเกย์ผู้หนึ่งซึ่งค้นพบภาพเปลือยผู้ชายอยู่ในบ้าน ซึ่งแต่ละภาพนั้นล้วนแต่เป็นภาพของนายแบบชื่อดังหรือไม่ก็เป็นรูปภาพของตำรวจในเครื่องแบบ

       ส่วนตัวผมแล้วนะครับ ผมชอบและประทับใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากๆ เลยครับ ผมดูถึง 3 รอบก็ยังซึ้งไม่หาย ดูทีไรน้ำตาคลอเบ้าทุกที ถ้ามีโอกาสล่ะก็อยากให้หามาดูกัน แล้วคุณจะเข้าใจในความหมายของคำว่ารักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม


                                                                                     หนังมีไว้ดู ผู้หญิงมีไว้รัก


ปล.เผยแพร่ครั้งแรกใน bloggang ปัจจุบันลบออกแล้วมาเผยแพร่ใน blogger แทน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS