Bishonen ความรักที่ต้องเป็น…ความลับ




       ความรักคือสิ่งที่เป็นสุขยิ่งสำหรับคนสองคน การที่ได้แสดงออกถึงภาษาแห่งรัก ความอบอุ่น ความเอื้ออาทรให้คนที่เรารักได้รับรู้ไม่ว่าจะเป็นทางด้านใดก็ตาม ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่เติมเต็มความสุขและสร้างเสริมความรักให้กันและกัน แต่ถ้าหากความรักที่มีให้กันไม่สามารถแสดงออกมาได้ ต้องถูกปกปิดแอบซ่อนไว้เป็นความลับจนแม้กระทั่งคนที่เรารักเองก็ไม่สามารถรับรู้ถึงความรักที่อีกฝ่ายมีให้ได้นั้น แล้วความรักจะเป็นความสุขได้เช่นไร

       Bishonen เป็นภาพยนตร์แนวเมโลดรามาเต็มรูปแบบ แสดงให้เห็นถึงรักสามเศร้าที่เกิดขึ้นกับตัวละครแต่ละตัวที่ต่างก็เจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากันเพียงเพื่อเพราะความรักที่ต้องเก็บซ่อนไว้จนเป็นความลับและความหลงมัวเมาจนกระทั่งทำร้ายได้แม้แต่ผู้ที่เรารัก

       เจ็ท (Stephen Fung) ชายหนุ่มรูปงามผู้มีอาชีพขายตัวได้พบกับแซม (Daniel Wu) ตำรวจหนุ่มครั้งแรกในงานแสดงศิลปะ ทันทีที่ได้เห็นแซม เขาก็รู้สึกชอบและตกหลุมรักในทันทีทันใดทั้งๆ ที่เขาไม่เคยที่จะรักใครมาก่อน หลังจากวันนั้นเขาก็เฝ้าแต่รอคอยที่จะพบกับแซมอีกจนแทบไม่เป็นทำอันทำอะไร อาฉิง (Jason Tsang) เพื่อนสนิทของเจ็ทได้ช่วยเหลือโดยการลงประกาสตามหาที่หน้าหนังสือพิมพ์ แต่ก็ไม่รับการติดต่อกลับมาแต่อย่างใด จนกระทั่งวันหนึ่งเจ็ทได้พบกับแซมอีกครั้งโดยบังเอิญ ซึ่งคราวนี้แซมเองเป็นผู้เข้ามาทักเขาก่อนและได้แนะนำตัวพร้อมกับนัดเจอกันหลังออกเวรซึ่งทำให้เจ็ทดีใจและมีความสุขมาก และนับแต่นั้นเป็นต้นมาเขาทั้งสองก็ได้สนิทสนมกัน เจ็ทได้รับรู้ว่าการที่ได้อยู่ใกล้กับคนที่เรารักนั้นช่างเป็นความสุขที่ไม่มีสิ่งใดมาทดแทนได้ แซมเองก็เช่นกันเขาไม่เคยปฏิเสธสักครั้งเดียวเมื่อเจ็ทนัดและยังดูแลเจ้ทเป็นอย่างดีเสียด้วย แต่แม้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะราบรื่นและดูเหมือนกำลังจพัมนาไปสู่การเป็นคู่รักก็ตามที แต่สิ่งหนึ่งที่เจ็ทไม่เข้าใจในตัวแซมก็คือ การที่แซมดูเย็นชากับความรักที่เจ็ทมีให้ หลายครั้งที่เจ็ทเปิดโอกาสให้กับแซม แต่เขาไม่เคยเลยที่จะล่วงเกินความสัมพันธ์อันนั้นมากไปกว่ารอยยิ้มและความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน เจ็ทเริ่มสับสนในตัวเองและคิดว่าแท้จริงแล้วนั้นแซมเคยรักตนบ้างหรือเปล่า หรือเป็นเพียงตัวเขาเองที่คิดไปเองฝ่ายเดียวกันแน่

       แซมเองก็เช่นกัน ใจจริงนั้นเขาชอบเจ็ทมาก แต่เพราะความเจ็บปวดในอดีตบางประการจึงทำให้เขาไม่สามารถบอกคำว่า “รัก” กับเจ็ท ได้ แต่เมื่อหนังดำเนินไปจนถึงตอนกลางเรื่อง ภาพความหลังอันเจ็บปวดที่ว่านี้ค่อยๆ โผล่ให้คนดูได้เห็นเป็นระยะๆ จนประติดประต่อได้ความว่า ก่อนที่เจ็ทจะมาเป็นตำรวจนั้นเขาเคยทำงานเป็นพนักงานอยู่บริษัทเอกชนมาก่อน วันแรกที่เริ่มงานเขาได้พบกับอาฉิง (ซึ่งเป็นคนเดียวกันกับเพื่อนสนิทของเจ็ท) ทันทีที่พบอาฉิงรักแซมมากยอมทำทุกอย่างเพื่อแซม และแซมเองก็รักอาฉิงไม่น้อยไปกว่ากัน ความรักของทั้งสองคงจะเบ่งบานได้เต็มที่ หากเพียงแค่ไม่มีบุคคลที่สาม เข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของแซม

       แซมได้พบกับ K.S. นักร้องชื่อดังโดยบังเอิญ ด้วยเสน่ห์ที่ค้นพบในตัว K.S.ทำให้แซมหลงรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ยอมทำทุกอย่างเพื่อ K.S. ยอมแม้กระทั่งทรยศต่อความรักที่อาฉิงมีให้ อาฉิงยอมขายตัวเพื่อนำเงินมาให้กับแซม แต่แซมเองกลับนำเงินที่เป็นน้ำพักน้ำแรงของคนรักไปปรนเปรอ K.S. รวมถึงตัวเขาเองที่ยอมตัดสินใจถ่ายรูปเปลือยเพื่อนำเงินที่ได้มาใช้หนี้ที่ K.S. ได้ก่อไว้ หากแต่ดูเหมือนว่า K.S. นั้นไม่รับรู้ถึงความรู้สึกที่แซมมีให้เลยแม้แต่น้อย และเพราะความหลงนี้เองจึงทำให้ฉากสุดท้ายของความรักทั้งคู่ปิดฉากลงด้วยการแยกทางกัน แซมได้ทบทวนสิ่งที่ผ่านมาทั้งหมดและพบว่าตนได้ทำผิดต่ออาฉิง ทำผิดต่อความรักที่อาฉิงมอบให้เขาอย่างหมดใจ เขาจึงลาออกจากการเป็นพนักงานของบริษัทแห่งนั้นและเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเป็นตำรวจเจริญรอยตามผู้เป็นพ่อ พร้อมกับสัญญากับตนเองว่าต่อไปนี้จะขอมีชีวิตอยู่แบบคนธรรมดา จะไม่ทำผิดและจะไม่รักใครอีกเพราะเขาเชื่อว่าความรักของเขานั้นมักทำร้ายคนที่เขารักอยู่เสมอๆ เขาได้ดำเนินชีวิตเยี่ยงคนธรรมดาๆ อยู่ถึง 5 ปี จนกระทั่ง ได้พบเจ็ทและทำให้ความรู้สึกเคยตั้งใจไว้เริ่มสั่นคลอน

       ต่อมาแซมได้พบกับอาฉิงอีกครั้ง แต่เขาแกล้งทำเป็นจำไม่ได้เพราะเขาไม่อยากให้อาฉิงต้องผิดหวังอีก และรู้ตัวเองดีว่าความผิดตนกระทำในอดีตนั้นยากแก่การให้อภัยซึ่งทำให้อาฉิงรู้สึกเสียใจมากที่คนที่ตนเคยรักและยังรักอยู่ทำเช่นนี้กับตน

       หลังจากนั้นอีกไม่นานเรื่องรักสามเศร้าก็ได้อุบัติขึ้น เมื่อเจ็ทเล่นกีฬาแล้วขาแพลง แซมพาเขากลับบ้าน และได้พบกับอาฉิงที่นั่น ทั้งสามคนต่างตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เจ็ทรีบไปที่บ้านของแซมเพื่อถามความจริงจากเขาและสารภาพว่าตนนั้นรักแซมมาก ซึ่งแซมเองก็เช่นกัน ในขณะที่รักต้องห้ามได้ดำเนินไปตามครรลองของมันอยู่นั้น พ่อของแซมได้บังเอิญเห็นเข้า แซมเสียใจมากกับการกระทำที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ และคิดว่าตนได้ทำให้คนที่รักต้องเสียใจอีกแล้ว เขาจึงได้ตัดสินใจที่จะออกจากชีวิตของทุกๆคนที่เขารักไปชั่วนิรันดร์ เพื่อไม่ให้คนที่เขารักต้องเจ็บปวดจากความรักที่เขามีให้อีกต่อไป

       หลายวันต่อมา กานาเพื่อนสนิทของแซมได้นำจดหมายที่แซมเขียนถึงเจ็ทก่อนอัตวินิบาตกรรมมาให้ โดยในนั้นมีโฆษณาประกาศตามหาในหนังสือพิมพ์และจดหมายที่มีเนื้อความว่า แซมนั้นรักและจริงใจกับเจ็ทมากที่สุดแต่เขาไม่กล้าที่จะเอ่ยอ้างออกไป เขาเก็บประกาศโฆษณาอันนี้ไว้เพื่อที่จะยืนยันความรักของเขาต่อเจ็ทในวันที่ต้องแยกทาง แต่ในวันนี้เขาต้องจากเจ็ทไปชั่วนิรันดร์ไม่มีโอกาสได้บอกเองจึงฝากข้อความมาในจดหมายฉบับนี้พร้อมทั้งใบประกาศโฆษณามให้เจ็ทเพื่อพิสูจน์ให้ทราบว่าเขารักเจ็ทมากเพียงใด

       ทันทีที่เจ็ทได้อ่านจดหมายฉบับนี้จบน้ำตาลูกผู้ชายก็ได้ไหลออกมาจากเบ้าตาอย่างห้ามไม่ได้ มันมิใช่น้ำตาแห่งความเสียใจหากแต่เป็นน้ำตาแห่งความปิติยินดี เขาได้บอกกับตัวเองว่า เพียงแค่นี้ก็เป็นสุขยิ่งแล้วสำหรับเขา แม้ว่าถ้อยคำดังกล่าวจะไม่ได้ออกมาจากปาก “แซม” คนที่เขารักมากที่สุด แต่มันก็กลั่นกรองออกมาจากจิตใจอย่างแท้จริง เพียงแค่นี้แม้ตายก็ไม่เสียดายชีวิต และดูเหมือนว่าในคืนนั้นเองเจ็ทก็ได้พบกับแซมอีกครั้งในที่ๆไกลแสนไกลหลังจากที่ไม่ได้พบกันนาน

       Bishonen เป็นผลงานการกำกับของ Yonfan ผู้กำกับรุ่นใหม่ฝีมือดี เจ้าของผลงานชิ้นเยี่ยมอย่าง Lost Romance, Bugis Street ซึ่งเรื่อง Bishonen นี้ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่เขากำกับมาอีกด้วย

       จุดเด่นสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่การเล่าเรื่องและการตัดภาพแบบสลับไม่ลำดับเวลา ที่สามารถจูงใจให้ผู้ชมมีความอยากใคร่รู้และติดตามได้ตลอดจนจบเรื่อง นอกจากนี้การใช้เพลงประกอบภาพยนตร์ก็ยังมีความเหมาะสมอีกทั้งฝีมือในการแสดงของนักแสดงแต่ละคนก็ยังสมบทบาทอีกด้วย องค์ประกอบดังกล่าวข้างต้นจึงทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับเกียรติให้ฉายโชว์และเข้าชิงรางวัลตามเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ รวมถึงเทศกาลภาพยนตร์กรุงเทพ (Bangkok Film Festival) ปี 2543 ด้วย สำหรับแรงบันดาลใจในการสร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว Yonfan ได้กล่าวไว้ในเว็บไซต์ของเขาที่ http://www.yonfan.com ว่าได้แรงบันดาลใจมาจากข่าวอื้อฉาวที่เกิดขึ้น ณ บ้านเศรษฐีเกย์ผู้หนึ่งซึ่งค้นพบภาพเปลือยผู้ชายอยู่ในบ้าน ซึ่งแต่ละภาพนั้นล้วนแต่เป็นภาพของนายแบบชื่อดังหรือไม่ก็เป็นรูปภาพของตำรวจในเครื่องแบบ

       ส่วนตัวผมแล้วนะครับ ผมชอบและประทับใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากๆ เลยครับ ผมดูถึง 3 รอบก็ยังซึ้งไม่หาย ดูทีไรน้ำตาคลอเบ้าทุกที ถ้ามีโอกาสล่ะก็อยากให้หามาดูกัน แล้วคุณจะเข้าใจในความหมายของคำว่ารักมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม


                                                                                     หนังมีไว้ดู ผู้หญิงมีไว้รัก


ปล.เผยแพร่ครั้งแรกใน bloggang ปัจจุบันลบออกแล้วมาเผยแพร่ใน blogger แทน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ขอเพียง 5 วันให้ฉันรู้หัวใจเธอ : รักนี้ช่างสั้นนัก



       ยังจำได้ว่าสมัยที่ผมเล่นแช็ท (chat) ทางอินเตอร์เน็ตใหม่ๆ ผมยังไม่รู้ว่าจะคุยเรื่องอะไร จึงมักจะเริ่มต้นด้วยประโยคคำถามถามคนที่แช็ทด้วยกันว่า “หากเรารู้ว่า วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่เราจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราจะทำอะไร” ปรากฎว่า มีหลายคำตอบด้วยกันที่ฟังดูน่าสนใจ และในขณะเดียวกันก็มีคำตอบอีกมากมายที่ฟังดูแล้วค่อนข้างไร้สาระไปหน่อย แต่ครั้นพอผมลองเอาคำถามอันนี้ย้อนกลับมาถามตัวเองบ้าง ผมเองกลับตอบไม่ได้ว่าจะทำอะไร ผมพยายามหาคำตอบอยู่นานแต่ก็ไม่พบ จนกระทั่งเมื่อได้ดูภาพยนตร์ เรื่อง “ขอเพียง 5 วัน ให้ฉันรู้หัวใจเธอ” จบ ผมจึงรู้ว่า นี่แหละคือคำตอบของคำถามที่ผมเพียรหามานานแสนนาน

       หยังชงโถว (เยิ่นเสียนฉี) ชายตาบอดและเป็นใบ้ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ทำงานอยู่ที่ โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในฐานะพนักงานพิพ์อักษรเบลล์ ณ ที่นี่เอง เขาได้รู้จักกับ อี๋ชิวหนาน (จางป๋อจือ) ด้วยความใสบริสุทธิ์และความอ่อนโยนจึงทำให้หยังชงโถวรู้สึกชอบและหวังที่จะอยู่ใกล้ชิดกับเธอตลอดไป แต่เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกระทันหันจึงทำให้หยังชงโถวเสียชีวิตลง

       วิญญาณของเขาได้รับอนุญาตให้กลับมาบนโลกได้อีกครั้งแต่ก็เป็นเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ เพียง แค่ 5 วัน และใน 5 วันนี้เขาจะมีชีวิตเหมือนคนปกติทุกอย่าง แต่ทุกคนที่อยู่ใกล้เขาจะจำไม่ได้ว่าเขาคือ “หยังชงโถว” เมื่อหยังชงโถวกลับมาบนโลกมนุษย์อีกครั้งโดยใช้ชื่อ จั๊วะเหวินจื้อ แม้ว่าเขาจะได้เห็นหน้าอี๋ชิวหนาน แม้ว่าเขาจะได้พูดคุยกับเธอ แต่มีอยู่ 2 สิ่งที่เขาจะต้องทำให้ได้ก่อนที่เขาจะจากไปก็คือ “ต้องบอกเธอให้ได้ว่าเขารักเธอ” และ “ร่วมดูฝนดาวตกด้วยกัน” แต่ก็ดูเหมือนจะไร้หนทางเพราะไม่ว่าจะพยายามบอกความจริงครั้งใดเสียงของเขาก็จะหายไปทุกทีๆจนแทบจะสิ้นหวัง จนกระทั่งวันสุดท้ายในชีวิตของหยังชงโถวมาถึง อี๋ชิวหนานพบว่าแท้จริงแล้วจั๊วะเหวินจื้อก็คือหยังชงโถว เธอดีใจมากและสารภาพว่าแท้จริงแล้วคนที่เธอชอบหาใช่ด็อกเตอร์โหวหากแต่เป็นตัวหยังชงโถว ส่วนหยังชงโถวก็ได้บอกความในใจที่รอมานานแสนนานว่าเขาก็รักเธอเช่นเดียวกัน ในวันนั้นเกิดฝนดาวตกทั้งเขาและธอจึงได้ร่วมดูดาวตกด้วยกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งร่างของหยังชงโถวค่อยๆสลาย... หายไปพร้อมกับดาวตกเหลือไว้เพียงที่ว่างและความทรงจำดีๆ ให้กับอี๋ชิวหนานได้จดจำตลอดไป…..

       แม้ว่าเรื่องราวเนื้อหาของเรื่องอาจจะดูค่อนข้างเหลือเชื่อไปนิด แต่ก็ประกอบไปด้วยฉากซึ้งๆ ประทับใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ขอพรดาวตก, ฉากที่พระเอกเป่าแซ็กโซโฟน หรือแม้กระทั่งฉากที่พระเอกแกล้งทำเป็นอ่านไดอารี่ทั้งที่จริงแล้วมีเขียนอยู่แค่บรรทัดเดียว เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่ช่วยกระตุ้นต่อมน้ำตาของผู้ชมได้เป็นอย่างดีนั่นก็คือ เพลงประกอบซึ่งถือว่าเป็นความชาญฉลาดของหม่าฉู่เฉินผู้กำกับ ที่เข้าใจเลือกใช้เพลงให้เหมาะกับช่วงจังหวะทำให้หนังสามารถกินใจคนดูได้ โดยเพลงที่ใช้ในเรื่องนี้ มี อยู่ 5 เพลง ได้แก่

       1)Give You Bliss ที่ใช้ประกอบตอนเปิดตัวหนังและตอนที่ก่อนที่พระเอกจะเกิดอุบัติเหตุ

       2) Wo Bu Shi Al Guo Jiao Shuan De Ren ใช้ประกอบตอนที่อี๋ชิวหนานตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า ทั้งด็อกเตอร์โหวและหยังชงโถว (ในชื่อจั๊วะเหวินจื้อ) มานอนรอหน้าบ้าน

       3) Word Of Star เป็นตอนที่อี๋ชิวหนานรู้ว่าจั๊วะเหวินจื้อก็คือหยังชงโถว จึงวิ่งตามหาไปจนถึงสระน้ำ

       4) Candle Light เป็นเพลงช่วงสุดท้ายตอนที่หยังชงโถวและอี๋ชิวหนานนั่งดูฝนดาวตกด้วยกัน

       5) เพลงบรรเลง Saxophone เป็นเพลงที่พระเอกใช้เล่นบรรเลงเวลาเป่า Saxophone


       จริงๆแล้ว ยังมีอีกมากมายเลยทีเดียวที่ผมต้องการจะพูดถึงแต่ผมไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เพราะความประทับใจในหนังเรื่องนี้นั้นไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นตัวอักษรหรือถ้อยคำใดๆ ได้ ฉะนั้นหากมีโอกาสแล้วล่ะก็ อยากให้หาภาพยนตร์เรื่องนี้มาชมกัน แล้วจะได้รับรู้ว่าไอ้ความประทับใจเหนือคำบรรยายที่ผมว่านั้นมันเป็นอย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ


“คุณจะได้รู้หัวใจของคุณที่คนรักด้วยว่ามันเป็นอย่างไรและรู้ถึงหัวใจของตัวของคุณด้วยว่าควรจะต้องทำอะไร” เหมือนอย่างที่ผมได้รู้มาแล้ว


                                                                                      หนังมีไว้ดู ผู้หญิงมีไว้รัก


ปล.เผยแพร่ครั้งแรกใน bloggang ปัจจุบันลบออกแล้วมาเผยแพร่ใน blogger แทน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Happy Together อยากให้โลกนี้มีเพียงแค่เราสองคน...



“หากพระผู้เป็นเจ้าสร้างผู้ชายมาเพื่อเป็นคู่กับผู้หญิงแล้ว ก็ต้องขอบคุณพระผู้เป็นเจ้าด้วยเช่นกันที่มอบสิทธิพิเศษมอบผู้ชายมาเพื่อให้รักกับผู้ชาย”

       โลกนี้รักใครไม่ได้นอกจากเขา (Happy Together) เป็นหนึ่งในภาพยนตร์แนว Hopeless Romanticหลายๆ เรื่อง ที่ตีแผ่ชีวิตคู่ของผู้คนบนเส้นทางสีม่วง ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวอันแสนเจ็บปวด ซึ่งกำกับโดย “หว่องคาไว” ผู้กำกับชาวฮ่องกงเจ้าของผลงานอันลือลั่นอย่าง Chungking Express, Days Of Being Wild, Ashes Of Time} 2046 ฯลฯ ผู้ซึ่งสามารถคว้ารางวัลปาล์มทองจากเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ สาขาผู้กำกับยอดเยี่ยมปี 1997 ไปครอบครองได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้

       ไหลเยี่ยฟาน (เหลียงเฉาเหว่ย) และ โหวเป่าหวิง (เลสลี่จาง) คู่รักที่รักกันอย่างสุดซึ้ง ตัดสินใจเดินทางออกจากฮ่องกงสู่อาร์เจนตินาด้วยกันโดยมีจุดมุ่งหมายคือ “น้ำตกอีกัวซู” น้ำตกที่ได้ชื่อว่ามีความยิ่งใหญ่ที่สุดและสวยงามที่สุด เมื่อมาถึงอาร์เจนตินา เยี่ยฟานและเป่าหวิงเกิดเรื่องระหองระแหงกัน ทั้งสองจึงแยกทางกัน เยี่ยฟานทำงานอยู่ที่บาร์แทงโก้แห่งหนึ่งเพื่อหาเงินเดินทางกลับฮ่องกงในขณะที่เป่าหวิงได้ใช้ชีวิตอย่างสำมะเลไปวันๆ เลือกคบผู้ชายไม่ซ้ำหน้า ต่อมา เป่าหวิงถูกทำร้าย เยี่ยฟานสงสารจึงดูแลรักษาเป่าหวิงและลองพยายามที่จะกลับมาใช้ชีวิตคู่เหมือนดังเดิมอีกครั้ง แต่ดูเหมือนความพยายามทั้งหมดจะล้มเหลว เมื่อทั้งสองคนเกิดความไม่เข้าใจกันอีก จึงต้องลงเอยด้วยการแยกทางกัน เยี่ยฟานเริ่มทำงานหนักขึ้นเพื่อหวังจะให้ลืมเป่าหวิง และแล้วในขณะที่เขากำลังสับสน เขาก็ได้พบกับ “อาเฉิน” เพื่อนร่วมงานในร้านอาหารเดียวกัน อาเฉินเป็นเพื่อนที่ดีต่อเยี่ยฟานมาก คอยปลอบโยนเมื่อเขามีทุกข์ จนทำให้เยี่ยฟานรู้สึกสบายใจและกำลังจะลืมเป่าหวิง แต่แล้วเรื่องอันน่าเศร้าก็เกิดขึ้นกับเยี่ยฟานอีกครั้งเมื่ออาเฉินมาบอกลาพร้อมกับบอกว่าตนจะออกเดินทางออกไป ไปยังประภาคารที่อยู่สุดขอบโลกซึ่งเป็นความฝันของเขา พร้อมกับขอร้องให้เยี่ยฟานพูดอะไรก็ได้ที่อยากพูดลงไปในเทปเพื่อที่จะนำไปเปิดที่นั่นตอนไปถึง ปรากฎว่าไม่มีคำพูดใดออกมาจากปากของเยี่ยฟาน นอกจากเสียงสะอื้นอันน่าสงสาร

       เมื่อทำงานจนได้เงินมากพอ เยี่ยฟานซื้อรถมืองสองมาหนึ่งคันเพื่อเดินทางมุ่งหน้าไปสู่ความฝันที่เขาเคยตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกให้ได้ก่อนเดินทางกลับฮ่องกง นั่นก็คือ เดินทางไปยังน้ำตกอีกัวซูเพื่อชื่นชมกับความยิ่งใหญ่ของมัน หากจะต่างกันก็แต่เพียงที่ที่ตรงนี้ไม่มี “โหวเป่าหวิง” คนที่เขาเคยรักและจะรักตลอดไปอยู่ข้างๆ ด้านเป่าหวิงเอง หลังจากเวลาผ่านพ้นไป เขาจึงได้รับรู้จิตใจของตนเองว่าแท้จริงแล้วนั้นไม่มีใครจะแทนที่ “ไหลเยี่ยฟาน” ได้ แต่มันก็สายไปเสียแล้ว เพราะอาร์เจนตินาในวันนี้ ไม่มีร่างของเยี่ยฟานให้เห็นอีกต่อไป จะมีก็แต่เพียง “ความสุข ความทรงจำร่วมกัน” ที่เคยร่วมสร้างกันมา……..

       จุดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้ นอกจากการที่ได้ดาราชั้นนำอย่าง เหลียงเฉาเหว่ยและเลสลี่จาง มานำแสดงแล้ว ยังต้องชื่นชมในฝีมือของหว่องคาไวอีกด้วยที่ใช้สีเข้ามาช่วยกระตุ้นอารมณ์ของคนดู โดยเราจะเห็นได้จากช่วงต้นเรื่อง ตอนที่ทั้งสองมีปากเสียงกันจนต้องแยกทางกัน หว่องคาไวเลือกที่จะใช้สีขาว-ดำชืดๆ ซึ่งนั่นจะช่วยทำให้คนดูรับรู้ถึงอารมณ์หรือบรรยากาศของตัวละครในตอนนั้นว่ามีความรู้สึกเช่นใด แต่พอตอนที่ทั้งสองคนคืนดีกัน มีความสุขร่วมกัน สีสันที่เคยหายไปก็กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้คนดูได้มีความรู้สึกร่วมไปกับหนัง เป็นต้น

       ส่วนในฉากที่น่าประทับใจนั้น ผมเชื่อว่าหากใครก็ตามที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้แล้ว ย่อมต้องเห็นด้วยกับผมว่าประทับใจตลอดทั้งเรื่อง แต่ฉากที่ประทับใจมากที่สุดสำหรับผมนั้นมีอยู่ 4 ฉากด้วยกัน ได้แก่

       1) ฉากที่เป่าหวิงโดนทำร้ายและเยี่ยฟานเข้ามาช่วย ทั้งสองนั่งอยู่บนรถเคียงข้างกันและแล้วเป่าหวิงก็ค่อยๆ เอียงคอมาซบไหล่ของเยี่ยฟาน ฉากนี้ทำได้เยี่ยมยอดมากเลยครับ ทั้งตัวแสดง, บรรยากาศ และเพลงประกอบ ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมชอบฉากนี้มากที่สุด

       2) ฉากที่เป่าหวิงสอนเยี่ยฟานเต้นรำ ตัวละครแสดงออกมาได้สมบทบาทมาก

       3) ฉากที่เยี่ยฟานขโมยพาสปอร์ตของเป่าหวิงไปซ่อนเพราะเกรงว่าเป่าหวิงจะจากตนเองไป

       4) ฉากที่อาเฉินขอให้เยี่ยฟานอัดเสียงลงเทปเพื่อที่จะนำไปเปิดเมื่อถึงประภาคารสุดขอบโลกแต่กลับได้เสียงสะอื้นไปแทน ในฉากนี้ผมเคยได้ยินนักวิจารณ์หลายๆ คน บอกว่าเหตุที่เยี่ยฟานต้องสะอื้นนั้นก็เพราะรู้ว่าตนต้องเสียคนที่ตน (แอบ) รักไป ซึ่งผมก็คิดว่าจริง

       แต่โดยความคิดของผมนั้นนอกจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว ผมยังคิดวาสาเหตุที่เยี่ยฟานร้องไห้ก็เพราะเขาคิดถึง “เป่าหวิง” นั่นเอง โดยสังเกตได้ บทสนทนาก่อนหน้านี้ที่พูดกันถึงความใฝ่ฝันอันสูงสุดของแต่ละคนที่เดินทางมาอาร์เจนตินาและที่ผมแน่ใจอย่างแน่ชัดว่าสมมติฐานของผมถูกต้อง นั่นก็คือ ตอนที่เยี่ยฟานได้เดินทางมาถึงน้ำตกเขากล่าวว่า น้ำตกแห่งนี้เป็นความฝันของทั้งเขาและเป่าหวิงที่จะได้มายืนเคียงข้างกันเพื่อชมความยิ่งใหญ่ของมัน แต่ในตอนนี้มีเขาเพียงคนเดียว เขาอยากให้เป่าหวิงมาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย

       นอกจาก 4 ฉากที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว มีอยู่อีกฉากหนึ่งที่สะเทือนใจผมมากพร้อม ๆ กับสะท้อนความในใจที่แท้จริงของตัวละครที่ชื่อ “ไหลเยี่ยฟาน” ออกมาทั้งหมด แต่ผมจะไม่บอกหรอกนะครับว่าเป็นฉากไหน อยากให้ผู้ที่สนใจทุกท่านติดตามดูกันเองมากกว่า แล้วทุกคนจะได้เห็นว่าความรักนั้นไม่มีแบ่งเพศ ไม่แบ่งวรรณะ ความรักเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่เคยมีคำว่าผิดในเรื่องของความรัก

                         
                                                                                    หนังมีไว้ดู ผู้หญิงมีไว้รัก


ปล.เผยแพร่ครั้งแรกใน bloggang ปัจจุบันลบออกแล้วมาเผยแพร่ใน blogger แทน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

What Dreams May Come...จะตามหาไม่ว่าเธออยู่ใหน



       เมื่อใดก็ตามที่ได้ฟังเพลง “Tears In Heaven” ของ Eric Clapton ผมมักจะนึกถึงสถานที่ๆ หนึ่งอยู่เสมอ สถานที่ที่เต็มไปด้วยเหล่าภูติเทวดา นางฟ้า, เต็มไปด้วยมวลบุปผชาติทิพย์นานาพันธุ์, เต็มไปด้วยความสุข ความสวยงาม, สถานที่ที่คนเราเรียกกันว่า “สวรรค์”

       คนเรามักเชื่อกันว่า หากทำความดีเมื่อตอนมีชีวิตอยู่ ครั้นพอตายไป วิญญาณก็จะล่องลอยไปสู่สรวงสวรรค์เพื่อไปพบกับความสุข ความสบาย ว่าแต่ว่าถ้าเราลองคิดกันต่อไปว่า หากเราได้อยู่บนสวรรค์และต้องพบว่าคนที่เรารักนั้นกลับต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกโลกันต์ เราจะยอมเสี่ยงลงไปนรกเพื่อช่วยคนที่เรารักหรือไม่?

       What Dreams May Come เป็นอีกบทหนึ่งของความรักที่สามารถพาหัวใจคนดูล่องลอยไปกับฉากอันวิจิตรตระการตา ได้ตลอดกว่า 90 นาที

       การจากไปของคริส (โรบิน วิลเลียม) หมอหนุ่มใหญ่ผู้รักครอบครัว ทำให้แอนนี่ (อนาเบลลา ซิออรา) ภรรยานักวาดรูปที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาต้องเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากหลังจากที่ได้สูญเสียลูกทั้งสองคนไปเมื่อ 4 ปีก่อน แทนที่เมื่อเวลาผ่านไปจะช่วยรักษาแผลใจของแอนนี่ มันกลับทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าเดิม จนเมื่อถึงที่สุดเธอได้ใช้การอัตวินิบาตตนเองเป็นทางออกซึ่งแทนที่จะทำให้วิญญาณไปสู่สวรรค์มันกลับทำให้เธอต้องตกนรกไปชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ เมื่อความรู้ถึงคริสสามีที่อยู่บนสวรรค์ เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปยังนรกเพื่อปลดปล่อยวิญญาณของแอนนี่ให้เป็นอิสระ

       ภาพยนตร์เรื่อง What Dreams May Come นี้ ดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ของ Richard Matheson โดย Ronald Bass ผู้ซึ่งเคยได้รับรางวัลออสการ์จากภาพยนตร์เรื่อง Rainman มาแล้ว นอกจากนี้ยังฝากฝีมือไว้ในภาพยนตร์แนวรักโรแมนติกอีกหลายต่อหลายเรื่อง เช่น My Best Friend’s Wedding, When A Man Loves A Woman ฯลฯ สำหรับแก่นหรือธีมของเรื่องนั้น What Dreams May Come ต้องการที่จะสื่อให้เห็นถึงศรัทธาแห่งความรักของคนทั้งสองคนที่ไม่ว่าอุปสรรคใดๆ ก็มิอาจขวางกั้นความรักที่มีให้กันและกันได้

       แม้ว่าผมจะชอบภาพยนตร์รักโรแมนติกมากเพียงใดก็ตาม แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ผมกลับชอบน้อยกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ เพราะอะไรน่ะเหรอครับ ก็เพราะว่าผมรู้สึกเอียนกับถ้อยคำหวานๆ ที่พรั่งพรูออกมาแทบจะทุกๆฉากเลยทีเดียว แต่ในด้านสเปเชียลเอฟเฟ็คนั้น ผมต้องขอยกนิ้วให้เลย เพราะถ่ายทำได้ดีมากและสวยมาก เอาเป็นว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เหมาะกับบุคคล 2 ประเภท มากที่สุด คือ

  “คู่รักที่เพิ่งรักกันใหม่ๆ” และ “นักศึกษาที่กำลังเรียนอยู่สาขาการถ่ายทำภาพยนตร์”


                                                                                     หนังมีไว้ดู ผู้หญิงมีไว้รัก


ปล.เผยแพร่ครั้งแรกใน bloggang ปัจจุบันลบออกแล้วมาเผยแพร่ใน blogger แทน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

God And Monster...รักนี้สังคมไม่รับ



“สุดชอกช้ำเมื่อคนเราต้องเหงา” 

       Gods And Monsters เรื่องราวความรัก ความหวัง การไขว่คว้าและการสูญเสียระหว่าง เจมส์ เวลล์ (เอียน แมคเคลเลน) อดีตผู้กำกับเกย์ฝีมือเยี่ยมเจ้าของผลงานแฟรงค์เก้นสไตน์ผู้ซึ่งใช้ชีวิตบั้นปลายของตนอย่างโดดเดี่ยวตามลำพังมีเพียงฮันนาแม่บ้านวัยกลางคนเท่านั้นเป็นผู้ที่คอยรับใช้ กับ เคลย์ตัน บูน (แบรนดอน เฟรเซอร์) คนสวนหนุ่มผู้มิได้พิสมัยในเรือนร่างของชายด้วยกัน

       เจมส์พบกับบูนครั้งแรกเมื่อตอนที่บูนกำลังทำสวนอยู่ในบ้านของเขา ทันทีที่เจมส์ได้เห็นเขาก็รู้สึกถูกชะตากับชายผู้นี้อย่างทันทีทันใด เจมส์เริ่มต้นความสนิทสนมกับบูนด้วยการขอให้เขาเป็นแบบวาดภาพให้ จากการวาดเพียงใบหน้าก็เริ่มรุกล้ำมายังร่างกายอันหนุ่มแน่นของบูนจนทำให้บูนเกือบต้องเลิกเป็นแบบเสียหลายครั้งหลายครา ในระหว่างที่เป็นแบบให้กับเกย์เฒ่าอยู่นั้น บูนได้รับฟังเรื่องราวในอดีตของเจมส์หลายต่อหลายเรื่องด้วยกันรวมถึงเรื่องที่เป็นอดีตที่ฝังใจเจมส์มากที่สุดและเจ็บปวดมากที่สุดซึ่งก็คือเรื่องที่เจมส์ได้ทำการฆ่าเพื่อนสนิทของตนซึ่งเป็นคู่รักของตนเองกับมือในระหว่างที่อยู่ในสนามตามคำขอร้องของเพื่อนเพื่อให้รอดพ้นจากการเจ็บปวดทรมาน ซึ่งแม้ไม่ว่าจะนานเพียงใด อดีตในครั้งนั้นก็ยังไม่ลืมเลือนไปจากใจ เจมส์นั้นคิดอยู่เสมอว่าตนเองเป็นพระเจ้าในโลกแห่งมายาที่คอยจะสร้างอะไรขึ้นมาให้เป็นจริงก็ได้ แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น เขาเองเป็นได้เพียงอสูรกาย…อสูรกายที่ฆ่าคนที่รักได้ด้วยมือตนเอง ซึ่งทันทีที่ได้รับทราบบูนจึงคิดว่าแท้จริงแล้วเจมส์นั้นเป็นบุคคลที่น่าสงสารมากที่สุด

       ต่อมา คืนหนึ่งขณะฝนตกเปียกปอนและในบ้านมีเพียงเจมส์กับบูนอยู่ตามลำพัง บูนได้เป็นแบบให้กับเจมส์อีกครั้งโดยคราวนี้เขาเปลือยให้เห็นถึงส่วนสัดทั้งหมด เจมส์ได้แอบเข้ามาข้างหลังและพยายามที่จะสัมผัสกับร่างกายอันอุดมไปด้วยกล้ามเนื้อที่หนัดแน่นของชายหนุ่ม บูนคิดว่าตนถูกข่มขืนจึงดิ้นรนและใช้ความรุนแรงกับเจมส์ แทนที่เจมส์จะเสียใจ เขากลับดีใจและคะยั้นคะยอให้บูนฆ่าตนเองให้ตาย ชายหนุ่มจึงได้รู้ความจริงว่าแท้จริงแล้วนั้นเจมส์ต้องการจะตายด้วยมือคนที่เขาชอบเหมือนอย่างที่เจมส์ได้เคยกระทำเพราะคำขอ

       จากเพื่อนรักของตน เพื่อที่ตนจะได้หลุดพ้นไปจากความทรงจำอันทรมานที่คอยตามหลอกหลอนเขาอยู่ร่ำไป ซึ่งถ้าหากสำเร็จก็ปรียบได้กับบูนนั้นเป็นดั่งอสูรกายอีกตัวที่ต้องตกอยู่ในภาวะเดียวกับเขาและคงต้องชอกช้ำกับเขาเหงาของตนเองไปชั่วชีวิต และแล้วเรื่องราวทั้งหมดก็ได้จบสิ้นลงเมื่อวันรุ่งขึ้น เจมส์ เวลล์ได้ตัดสินใจฆ่าตัวตายที่สระน้ำในบ้านของเขาเองโดยไม่ทราบสาเหตุ เหลือเพียงรูปวาดแฟรงค์เก้นสไตน์ที่เขามอบให้ไว้กับบูนก่อนตาย ซึ่งถือเป็นการสิ้นสุดชีวิตของพระเจ้าผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมายาและก็เป็นการจบฉากของชีวิตปีศาจที่ต้องจมอยู่กับความเหงาและความอ้างว้าง ทรมาน ชั่วนิจนิรันดร์……

       ภาพยนตร์เรื่อง Gods And Monsters ถือได้ว่าเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดอีกเรื่องหนึ่งโดยประเด็นหลักนั้นมิได้กล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของเกย์มากนัก ความเป็นเกย์ในเรื่องถูกใช้เป็นเป็นเพียงสิ่งกระตุ้นที่ให้ผู้ชมได้เห็นและรับรู้ถึงความเหงาได้เด่นชัดมากขึ้นเท่านั้นเอง สิ่งหนึ่งที่สมควรยกย่องสำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้ก็คือบทภาพยนตร์และการผูกเรื่องที่ทำได้ดีมากๆ เลยทีเดียว สมกับที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ประจำปี 1999 ถึง 3 รางวัล และสามารถคว้ารางวัลบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ในปีเดียวกันนี้ไปครอบครองด้วยฝีมือการกำกับของบิล คอนดอน


                                                                                   หนังมีไว้ดู ผู้หญิงมีไว้รัก


ปล.เผยแพร่ครั้งแรกใน bloggang ปัจจุบันลบออกแล้วมาเผยแพร่ใน blogger แทน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Message In A Bottle : สาส์นรักในขวดแก้ว



“ผู้หญิงทุกคนอยากเป็นดาวเหนือ…..เพื่อเป็นแสงนำทางแก่คนรัก”


       หากใครก็ตามที่เป็นนักดูภาพยนตร์รักโรแมนติกตัวยงแล้วล่ะก็ ย่อมต้องสามารถทายได้ได้ทันทีว่าถ้อยคำอันหวานซึ้ง กินใจ ข้างต้นนั้นมาจากเรื่อง “Message In A Bottle” ที่นำแสดงโดยพระเอกรูปหล่ออย่าง เควิน คอสเนอร์

       Message In A Bottle นั้นเป็นภาพยนตร์แนวรักโรแมนติกอีกเรื่องหนึ่งที่เรียกน้ำตาคนดูได้ตลอดความยาวของหนังกว่า 2 ชั่วโมง ซึ่งถือได้ว่าเป็นเสน่ห์ของภาพยนตร์เรื่องนี้

       บทเริ่มต้นของความรักได้กำเนิดขึ้นเมื่อ “เทเรซา” (โรบิน ไรท์ เพนน์) นักวิจัยประจำหนังสือพิมพ์ ชิคาโกทรีบูน คุณแม่สาวลูกหนึ่งผู้กำลังอกหักจากความรักเพราะสามีนอกใจ ได้ไปพบจดหมายที่ใส่ขวดแก้วลอยน้ำมาจากที่ไกลแสนไกลโดยบังเอิญ ข้อความในจดหมายนั้นได้เขียนพร่ำรำพันถึงหญิงคนหนึ่งที่ชื่อแคเทอรีน โดยทุกตัวตัวอักษรที่กลั่นออกมาเป็นคำพูดนั้นเต็มไปด้วยความหวานซึ้ง ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรักของผู้เขียนจดหมายซึ่งไม่ได้ลงนามแต่ลงท้ายจดหมายว่า “G” มีต่อแคเทอรีน

       ด้วยความประทับใจในข้อความบนจดหมายรักที่ลอยน้ำมานั้น เทเรซาจึงเริ่มต้นออกค้นหาผู้ที่เขียนสารรักนั้น และแล้วเธอก็ได้พบกับ “การ์เรท” (เควิน คอสเนอร์) ชายเจ้าของอู่ซ่อมเรือ ผู้ซึ่งเขียนสาส์นรักที่ลอยน้ำมา

       จากนาทีเป็นชั่วโมง…จากชั่วโมง…เป็นวัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองได้แนบแน่นขึ้น เทเรซารู้ตัวเองดีว่าเธอได้ตกหลุมรักการ์เรทเข้าเสียแล้ว และตัวการ์เรทเองก็ยอมรับว่าเขาก็รักเทเรซาเช่นกัน

       “ในชีวิตนี้ผมรักผู้หญิงอยู่ 2 คน คนแรกคือแคเทอรีน และคนที่ 2 คือสาวชาวกรุงปากมาก” การ์เรทกล่าว

       แม้ว่าทั้งสองคนจะรักกันปานใดก็ตามแต่ก็ไม่สามารถที่จะล้ำเข้ามาเป็นคู่ชีวิตของกันและกันได้     เพราะการ์เรทยังไม่สามารถตัดใจจากแคเทอรีน ภรรยาสุดที่รักผู้ซึ่งจากไปเมื่อ 2 ปีก่อนได้ เขายังคิดถึงเธออยู่เสมอโดยทุกๆ สิ่งที่เป็นของเธอยังคงอยู่ที่ๆเดิมที่มันเคยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด, สมุดวาดเขียน หรือแม้กระทั่งรองเท้าของเธอ ก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิม การ์เรทไม่ยอมให้ใครมาเคลื่อนย้ายเด็ดขาด
ในขณะที่เขากำลังสับสน…ในขณะที่เทเรซา กำลังจะเดินออกจากชีวิตของเขาไป “ดอดจ์” (พอล นิวแมน) พ่อของการ์เรทจึงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ลูกของตัวเองได้สติ

       “แกต้องเลือกเอาว่าจะอยู่กับวันวานหรือวันพรุ่งนี้…เลือกซะ” ดอดจ์ กล่าว

       ด้วยคำกล่าวของพ่อจึงทำให้เขารู้ว่าเขาควรจะอยู่กลับอดีตหรืออนาคต การ์เรท ตัดสินใจเลือก     เทเรซา เขาเขียนจดหมายรักขึ้นมาอีก 1 ฉบับแล้วแล่นเรือออกสู่ทะเลลึกเพื่อบอกลา

       แคเทอรีน ขณะที่เขากำลังจะทิ้งสาส์นรักฉบับสุดท้ายลงน้ำ ก็เห็นเรือลำหนึ่งกำลังจม พ่อแม่ลูก 3 คนที่อยู่ในเรือกำลังจะจมน้ำตาย การ์เรทจึงโดดลงไปช่วย เขาช่วย พ่อ และลูกได้ หากตอนที่ช่วยผู้เป็นแม่ เขาอ่อนเพลีย…อ่อนเพลียเกินกว่าที่จะช่วยชีวิตคนที่เหลือและตัวเองได้ และแล้วเขาก็ได้อยู่กับคนที่เขารัก…แคเทอรีน…ชั่วนิจนิรันดร์

       แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกน้ำเน่าไปนิดๆ ก็ตาม แต่ก็มีความกลมกลืนกันได้อย่างเหมาะเจาะไม่ว่าจะเป็นบุคลิกของตัวละคร, การแต่งกาย, ฉาก, หรือแม้กระทั่งเพลงประกอบ ก็เข้ากันได้อย่างกลมกลืน ซึ่งต้องยกย่องให้เป็นผลงานของ ลูอิส แมนโดกิ ผู้กำกับชื่อก้อง ส่วนธีมของเรื่องนั้นนอกจากจะแสดงให้เห็นว่าความรักอันเป็นนิรันดร์แล้วยังแสดงให้เห็นถึงความรักความผูกพันระหว่างพ่อกับลูกอีกด้วย

       หากคุณยังหาภาพยนตร์ดีๆ ซึ้งๆ ที่จะดูกับคนรักในช่วงสุดสัปดาห์นี้ไม่ได้ ผมขอแนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้ก็แล้วกัน เพราะผมเชื่อแน่ว่าความรักของคุณจะต้องหวานซึ้งกว่าเดิม


                                                                                    หนังมีไว้ดู ผู้หญิงมีไว้รัก


ปล.เผยแพร่ครั้งแรกใน bloggang ปัจจุบันลบออกแล้วมาเผยแพร่ใน blogger แทน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

When Harry Met Sally...เมื่อเพื่อนรักเพื่อน



“ Friendship Often End in Love, But Love in Friendship Never……. “ 

        ได้ยินคำพูดข้างต้นทีไร ผมมักจะอดนึกถึงภาพยนตร์ที่แสนจะโรแมนติกเรื่อง “When Harry Met Sally” อยู่เสียไม่ได้ทุกทีไป

        แฮรี่ เบิร์น (บิลลี่ คริสตัล) และ แซลลี่ อัลไบร์ท (เม็ก ไรอัน) ได้พบและพูดคุยกันครั้งแรกเมื่อตอนที่ทั้งสองแชร์กันขับรถจากมหาวิทยาลัยชิคาโกไปยังนิวยอร์ค ระหว่างทางแฮรี่มักจะบอกแซลลี่อยู่เสมอ ๆ ว่า ผู้ชายกับผู้หญิงนั้นไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้ ที่ผู้ชายคบกับผู้หญิงนั้นมักจะมีเรื่องเซ็กส์แอบแฝงอยู่ และเมื่อใดก็ตามที่มีความสัมพันธ์ทางเพศเกิดขึ้น มิตรภาพที่เคยมีมาก็เป็นอันจะต้องจบสิ้นลง แต่แซลลี่ไม่เชื่อคำพูดของแฮรี่ เธอคิดว่าผู้ชายกับผู้หญิงสามารถเป็นเพื่อนกันได้ ในขณะเดียวกันก็รู้สึกไม่ชอบหน้าแฮรี่สักเท่าไหร่

       6 ปีต่อมา แฮรี่และแซลลี่ได้พบกันอีกครั้งที่สนามบิน แฮรี่ทำงานเป็นที่ปรึกษาทางการเมือง ส่วนแซลลี่ ทำงานด้านหนังสือพิมพ์ การเจอกันในครั้งนี้ แฮรี่แต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่ง ส่วนแซลลี่เธอก็กำลังหาทางลงเอยกับเพื่อนชายของเธอ แม้อะไร ๆ จะเปลี่ยนแปลงไปก็ตามแต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนไป นั่นก็คือ ความคิดของแฮรี่ที่ว่า “ผู้ชายกับผู้หญิงไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้”

       60 เดือนให้หลัง ทั้งสองเจอกันอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อน ๆ แฮรี่กำลังจะหย่ากับภรรยา ส่วนแซลลี่ก็เลิกกับเพื่อนชายของเธอ การพบกันคราวนี้ดูเหมือนหลาย ๆ อย่างจะดีขึ้น ทั้งสองเริ่มเข้าใจในกันและกันมากขึ้น ยอมรับซึ่งกันและกัน ซึ่งก็อาจเป็นเพราะว่าทั้งเขาและเธอเติบโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นก็เป็นได้ ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มแนบแน่นมากขึ้น จนกระทั่งทั้งสองได้เป็นคู่รักกัน และแฮรี่ก็พบว่า “จริง ๆ แล้วนั้นมิตรภาพของเพื่อนเป็นสะพานที่ทอดยาวไปสู่ถนนแห่งความรัก”
สาเหตุที่ผมชอบภาพยนตร์เรื่องนี้นั้นมีหลายส่วนด้วยกัน อย่างเช่นตัวละครที่เล่นนั้น ได้ดาราชั้นนำอย่าง บิลลี่ คริสตัน กับ เม็ก ไรอัน มาแสดงนำ , ฉากประกอบก็ทำได้สวยงาม, เพลงประกอบก็สุดแสนจะไพเราะ แต่สิ่งที่ทำให้ผมประทับใจมากที่สุดก็เห็นจะเป็นความชาญฉลาดของผู้เขียนบทประพันธ์ที่สามารถก่อให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ได้โดยเริ่มจากสมมติฐานที่ว่า “ผู้ชายกับผู้หญิงไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้”

       ผมเชื่อว่าในโลกแห่งความเป็นจริงนั้น มีผู้ชายน้อยคนที่จะเป็นอย่างแฮรี่ และมีผู้หญิงจำนวนไม่มากที่เป็นอย่างแซลลี่ ที่คบกันนานถึง 12 ปี 3 เดือน จึงได้ตกลงปลงใจกัน แต่ผมก็เชื่อว่ามันเป็นไปได้เสมอ หากคนเรานั้นมีความรักให้กันและกันอย่างแท้จริง เปิดใจให้กว้างยอมรับในกันและกัน 


ว่าแต่ว่าตอนนี้คุณพร้อมที่จะเป็นอย่างแฮรี่และแซลลี่ หรือเปล่าครับ !

                                            
                                                                                 หนังมีไว้ดู ผู้หญิงมีไว้รัก


ปล.เผยแพร่ครั้งแรกใน bloggang ปัจจุบันลบออกแล้วมาเผยแพร่ใน blogger แทน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS